วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

ภาคผนวก

รูปภาพ
เรื่องชุมชนรักษาขนมสอดไส้

















บทที่ 5

บทที่ 5
อภิปรายและสรุปผล


จากการที่ได้ศึกษาการทำขนมสอดไส้ในตำบล หนองบัว  ได้รู้จักสูตรและเทคนิคการทำขนมสอดไส้
สรุปผล
จากการที่ได้ศึกษาสูตรการทำขนมสอดไส้ในตำบล หนองบัว     ในแต่ละสูตรมีส่วนผสมและเทคนิคในการทำขนมสอดไส้ไม่เหมือนกัน  ในด้านการค้นคว้าข้อมูลขนมสอดไส้ได้รู้ความเป็นมาและประวัติของขนมสอดไส้ในด้านประโยชน์และอุปสรรคการทำโครงงานสำรวจ  เรื่อง ชุมชนรักษาขนมสอดไส้  มีดังนี้
ประโยชน์ในการทำโครงงานเรื่อง   ชุมชนรักษาขนมสอดไส้
-  สามารถนำไปประกอบอาชีพเสริมได้ในอนาคต
- ได้รู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของขนมสอดไส้
- ได้รู้เทคนิคในการทำขนมสอดไส้ใน ตำบล หนองบัว
- ได้นำสูตรและเทคนิคต่างๆไปเผยแพร่ให้คนรู้จักในชุมชนมากขึ้น
อุปสรรคในการทำขนมสอดไส้
ในการทำขนมสอดไส้จะต้องใส่ส่วนผสมจะต้องกวนแป้งอยู่ตลอดใส่ส่วนผสมเสร็จให้กวนแป้งเรื่อยๆประมาณ 10 นาที และกวนให้เข้ากัน
ก่อนจะนำขนมสอดไส้ไปใส่ห่อจะต้องให้อุ่นก่อน


บทที่ 4

บทที่ 4
ผลการศึกษาค้นคว้า


จากการที่ได้ศึกษาและได้ทำโครงงาน  เรื่องชุมชนรักษาขนมสอดไส้ทำให้เราได้รู้ความเป็นมา  ของขนมสอดไส้ได้รู้สูตรการทำขนมสอดไส้  ได้รู้วิธีการทำและอุปกรณ์การทำสูตรแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน  เทคนิคในการทำขนมสอดไส้และสูตรที่แตกต่างกันในอำเภอ  มีคนขายขนมสอดไส้หลายที่ และได้รู้ว่าการทำขนมสอดไส้ไม่ง่ายเลย จะต้องทำด้วยความประณีต  ในการห่อในการผสมแป้งและการทำไส้และการทำขนมสอดไส้ยังสามารถนำมาประกอบอาชีพหลัก หรือ อาชีพเสริมได้


บทที่ 3

บทที่ 3
วิธีการดำเนินงาน

ขั้นตอนการดำเนินงาน

ลำดับที่
รายการปฏิบัติ
กำหนดเวลา
ผู้รับผิดชอบ
1
คิดและเลือกหัวข้อเรื่อง
2 วัน
คณะผู้จัดทำโครงงาน
2
ศึกษาข้อมูล
1 สัปดาห์
คณะผู้จัดทำโครงงาน
3
การเขียนหลักการและเหตุผล
1 สัปดาห์ กับ5 วัน
คณะผู้จัดทำโครงงาน
4
วัตถุประสงค์
1 วัน
คณะผู้จัดทำโครงงาน
5
สมมุติฐาน
1 วัน
คณะผู้จัดทำโครงงาน
6
การเขียนเค้าโครง โครงงาน
3 วัน
คณะผู้จัดทำโครงงาน
7
ลงพื้นที่และทำแบบสอบถาม
2 วัน
คณะผู้จัดทำโครงงาน
8
เริ่มทำโครงงาน 5 บท
2 สัปดาห์
คณะผู้จัดทำโครงงาน
9
ทำแผ่นพับ
1 วัน
คณะผู้จัดทำโครงงาน
วิธีการดำเนินการศึกษาค้นคว้า
การศึกษาครั้งนี้คณะผู้จัดทำได้ดำเนินการศึกษาค้นคว้าตามลำดับต่อไปนี้
1.           ขั้นศึกษาข้อมูล
                        ขั้นสำรวจและศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง  โดยการสอบถามวิทยากรท้องถิ่นที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องขนมสอดไส้
                        ศึกษาวัตถุดิบและส่วนประกอบ  วัสดุอุปกรณ์ในการทำขนมสอดไส้
2.           ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล
                        ได้มีการเก็บรวบรวมจากการสำรวจและศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องขนมสอดไส้
                        ได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากการที่ได้สังเกต และสัมภาษณ์ผู้รู้
3.           ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล
นำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาศึกษาและวิเคราะห์ผลตามวัตถุประสงค์และเรียบเรียงนำเสนอในรูปแบบเอกสารแผ่นพับ
วัสดุอุปกรณ์ในการทำ
1.  หม้อนึ่ง 
2.   กระทะ
3.   กระชอนกรองกะทิ
4.   เตาไฟ
5.  กรรไกร
6.  ช้อน

7.   ตะหลิว

บทที่ 2

บทที่ 2
        เอกสารและงานที่เกี่ยวข้อง

 

ประวัติความเป็นมา
            ขนมสอดไส้  เป็นขนมไทยที่ใช้ในพิธีขันหมากในสมัยโบราณ  ขนมใส่ไส้นี้ห่อด้วยใบตองแล้วมีเตี่ยวคาด (เตี่ยวก็คือทางมะพร้าว) ห่อเป็นทรงสูง ขนมใส่ไส้มีกลิ่นหอมและหวานจากตัวไส้ รสเค็มมันด้วยหน้ากะทิที่สดใหม่ หน้าข้นพอดี ไม่เละ เดี๋ยวนี้จะหาขนมใส่ไส้ที่มีรสอร่อยซึ่งมีทั้งกลิ่นหอมและหวานมัน มารับประทานได้ยาก เพราะขนมใส่ไส้ที่อร่อยต้องใส่กะทิที่ข้นมัน ซึ่งมะพร้าวเดี๋ยวนี้สนนราคาก็แพงน่าดู  ส่วนกลิ่นหอมก็ต้องอบด้วยดอกมะลิและควันเทียน ซึ่งต้องใช้เวลาและอุปกรณ์ในการทำเพิ่มขึ้นด้วย อย่างนี้น่าจะทำรับประทานกันเองก็จะได้ขนมใส่ไส้รสอร่อยถูกใจและทำได้ไม่ยากเลย การทำขนมใส่ไส้ เคล็ดลับอันดับแรกก็อยู่ที่ตัวไส้ มะพร้าวที่ใช้ต้องเป็นมะพร้าวทึนทึก เป็นมะพร้าวที่ไม่อ่อน ไม่แก่ กะลามะพร้าวยังมีสีน้ำตาลอ่อน ไม่ดำน้ำตาลปีบที่ใช้ต้องไม่ขมและมีสีเป็นธรรมชาติไม่ขาเวลากวนไส้ต้องกวนด้วยไฟกลางค่อนข้างอ่อน กวนให้เหนียวพอปั้นก้อนได้แล้วเรียงใส่ขวดโหลที่มีฝาปิดอบด้วยควันเทียนและดอกมะลิโรยดอกมะลิดอกตูมที่แก่จัด(เด็ดกลีบเลี้ยงออก) วางเทียนอบที่จุดแล้วดับในถ้วยใบเล็ก ปิดฝาอบไว้ 1 คืน ไส้จะมีกลิ่นหอมชวนกิน


          สำหรับตัวแป้งที่หุ้มใช้ทั้งแป้งข้าวเหนียวขาวและแป้งข้าวเหนียวดำเวลานวดต้องค่อยๆ ใส่น้ำแล้วต้องนวดนานๆ เม็ดแป้งจะอุ้มน้ำได้ดีเพราะเป็นแป้งแห้งแป้งจะมีความเหนียวดีไม่เหมือนในสมัยก่อนจะใช้แป้งที่โม่เองแป้งก็จะเปียกและอุ้มน้ำอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องนวดนานหน้าของขนมเวลากวนแล้วต้องรีบตักหยอดขณะที่ร้อนอยู่จึงจะเรียบเวลาห่อขนมจะได้รูปตามที่ห่อและน่ารับประทานใบตองที่ใช้ห่อขนมใส่ไส้ควรใช้ใบตองตานีพา  
เครื่องปรุงในการทำขนมสอดไส้
            ส่วนผสมของไส้
            มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย  1  ถ้อยตวง
            น้ำตาลปี๊บ   1/2           ถ้อยตวง
            เกลือ  1/4  ช้อนชา
            ส่วนประผสมแป้งที่หุ้มไส้
            แป้งข้าวเหนียว  1/2    ถ้อยตวง
            น้ำ 3  ช้อนโต๊ะ
            น้ำเปล่า  3  ช้อนโต๊ะ
            น้ำใบเตยข้นๆ    3/4     ช้อนโต๊ะ
            ส่วนผสมตัวแป้ง
            หัวกะทิ  3/4     ถ้อยตวง
            แป้งข้าวเจ้า   1/2    ถ้อยตวง
            น้ำตาลทราย   1/3   ถ้อยตวง
            แป้งข้าวโพด    1     ช้อนโต๊ะ
            เกลือ     1/2      ช้อนชา
วัสดุอุปกรณ์ในการทำขนมสอดไส้
1.  หม้อนึ่ง 
2.   กระทะ
3.   กระชอนกรองกะทิ
4.   เตาไฟ
5.  กรรไกร
6.  ช้อน
7.   ตะหลิว
8.  ชามผสม


วิธีทำ

นำมะพร้าวทึนทึกขูดฝอยไปเคี้ยวกับน้ำตาลปี๊บให้หอมและแห้งพอปั้นได้ยกลง   ปั้นเป็นก้อนกลมๆเล็กๆนำไปอบควันเทียน
เตรียบวัสดุในการห่อนำใบตองมาฉีกให้กว้าง 7 ซ.ม. ยาว 20 – 25 ซ.ม. (ใบตองชั้นนอก)ฉีกใบตองกว้าง  5 ซ.ม. ยาว  10  ซ.ม. (ใบตองชั้นใน) แล้วตัดหัวท้ายให้แหลม และนำใบมะพร้าวมาฉีกให้กว้าง 1.5 ซ.ม. ยาว 50 ซ.ม. แล้วเตรียมไม้กลัดเล็กๆยาว 3 ซ.ม.
นวดแป้งข้าวเหนียวกับน้ำเปล่า โดยค่อยๆใส่น้ำที่ละน้อยนวยจนแป้งนิ่ม แล้วปั้นเป็นก้อนเล็กๆขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1ซ.ม. นำใส่ที่อบควันเทียนแล้วมาหุ้มด้วยแป้งบางๆ
นำแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวโพด น้ำตาลทราย และเกลือ ใส่รวมกันในอ่างผสมคนให้เข้ากัน แล้วเติมกะทิ 3/4   ถ้วยตวง คนให้ส่วนผสมเข้ากันและน้ำตาลละลาย แล้วเติมกะทิที่เหลือและน้ำใบเตยคนให้เข้ากัน
นำส่วนผสมในข้อ 4 ไปใส่ในกระทะ ยกขึ้นตั้งไฟกวนให้ส่วนผสมข้น ยกลง
นำส่วนผสมในข้อที่ 5 ไปห่อให้ส่วนงาม นำไปนึ่ง ในน้ำเดือด 20 – 25 นาที ยกลง

            ข้อเสนอแนะ
            การนึ่งขนมควนใช้ไฟกลางและไม่ใส่ขนมแน่นเกินไปจะทำให้ขนมเสียรูปทรง

            ประโยชน์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น
            เป็นขนมโบราณดั้งเดิม ไว้รับประทาน เป็นการอนุรักษาสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นและทำเป็นอาชีพ เพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวและชุมชน

สรรพคุณของแป้ง

 

แป้ง:แหล่งที่มาและประโยชน์ของแป้งชนิดต่าง ๆ



แป้งข้าวเจ้า
ทำมาจากข้าวเจ้า ซึ่งส่วนมากมักใช้ทำขนมหวาน ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น ปัจจุบันแป้งข้าวเจ้าที่ขายกันตามท้องตลาดมี 2 ชนิดคือ แป้งข้าวเจ้าชนิดแห้งและเป็นแป้งป่นละเอียดมาก ขาวสะอาด บรรจุในถุงพลาสติก ผลิตโดยโรงงานอุตสาหกรรม อีกชนิดหนึ่งคือชนิดเปียก ชนิดนี้ทำขายวันต่อวัน ถ้าค้างคืนจะเหม็นบูด บางคนที่ทำขนมขายเป็นอาชีพมักจะทำแป้งข้าวเจ้าใช้เอง คือแช่ข้าวสารหรือปลายข้าง ซึ่งเลือกและล้างสะอาดแล้วในน้ำพอท่วมประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วบดให้ละเอียดด้วยโม่หินหรือเครื่องบด ถ้าแห้งที่ออกมายังหยาบจะโม่หรือบดซ้ำใหม่อีกจนกว่าจะได้แห้งที่ละเอียดกรองด้วยถุงผ้า มัดปากถุงให้แน่นแล้วทับให้สะเด็ดน้ำ จะได้แป้งข้าวเจ้าชนิดเปียก ในการทำขนมจะต้องเติมน้ำลงไปในแป้ง และนวดจนกว่าจะได้ลักษณะของแป้งตามต้องการที่ใช้ทำขนมชนิดนั้น ๆ
แป้งข้าวเหนียว
ทำมาจากข้าวเหนียว ลักษณะที่ขายกันตามท้องตลาดและกรรมวิธีทำแป้งข้าวเหนียว มีลักษณะเช่นเดียวกับแป้งข้าวเจ้า ส่วนมากใช้ประโยชน์ในการทำขนมหวาน ในปัจจุบันมีการทำในโรงงานอุตสาหกรรม คือโม่หรือบดเป็นแป้งแห้งบรรจุถุงขาย เช่น แป้งสาลี แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า และแป้งข้าวเหนียวดำ
แป้งสาลี
แป้งสาลีมีส่วนประกอบต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของข้าวสาลี ส่วนของเมล็ดที่นำมาบดเป็นแป้ง การเลือกเมล็ดข้าวและการบด สิ่งเหล่านี้ทำให้ส่วนประกอบของแป้งแตกต่างกันไป แป้งสาลีใช้ประโยชน์มากในอุตสาหกรรมทำขนมปัง ขนมเค้ก ขนมหวานที่ทำด้วยแป้งขึ้นฟู เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้ทำเป็นอาหารเช้าของคนยุโรปและคนอเมริกันอีกด้วย แป้งสาลีอาจแบ่งออกได้ ดังนี้
แป้งมัน
ทำจากหัวมันสำปะหลัง ส่วนใหญ่จะใช้เป็นส่วนผสมทำให้ข้นเหนียว เช่น กระเพาะปลา การผัดอาหารประเภทที่ต้องการให้น้ำข้นเหนียวและใช้ทำนวลเมื่อนวดแป้ง แป้งจะไม่ติดมือ อาหารที่ทำจากแป้งมัน เช่น ขนมกุยช่าย ขนมชั้น ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ผสมกับแป้งอื่นเพื่อให้อาหารเหนียวใส
แป้งเท้ายายม่อม
ทำจากรากของหัวยายม่อม ลักษณะของแป้งสีขาว เป็นผงแข็ง จับกันเป็นก้อน และใช้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้ส่วนผสมข้นและมีความใส เป็นต้น
แป้งสาลี(Flour, white flour, wheat flour and plain flour)
ทำมาจากข้าวสาลีขัดขาวสะอาด ฉะนั้นจึงมีแต่ส่วนที่เป็นเนื้อข้าว ซึ่งมีความชื้นไม่มากกว่า 15%
แป้งเสริมวิตามิน(enriched flour)
คือแป้งสาลีธรรมดาแต่เดิมไวตามินผสมลงไปได้แก่ ไทอะมิน 2.0-2.5 ม.ก. ไรโบฟลาวิน 1.2-1.5 ม.ก. ไนอะซีน 16.0-20.0 ม.ก. เหล็ก 13.0-16.5 ม.ก. ต่อแป้งหนัก 1 ปอนด์
แป้งที่ขึ้นเอง(self-rising flour)
คือแป้งที่เติมโซเดียมไบคาร์บอเนต หรือสารที่ออกฤทธิ์เป็นกรดได้แก่ โมโนแคลเซียมฟอสเฟต(mono calcium phosphate) หรือโซเดียมแอซิคไพโรฟอสเฟต(sodium acid pyrophosphate)หรือเติมทั้งสองชนิดและเกลือ ส่วนสารที่ออกฤทธิ์เป็นกรดนี้เติมลงไปในปริมาณที่เพียงพอ ซึ่งจะทำให้โซเดียมไบคาร์บอเนตเป็นกลาง
แป้งดูรัมหรือแป้งมักกะโรนี(durum or macaroni flour)
คือแป้งสาลีที่ทำจากข้าวสาลีพันธุ์ดูรัม ซึ่งมีโปรตีนสูง ใช้ทำมักกะโรนีโดยเฉพาะ
แป้งขนมปัง(bread flour)
คล้ายแป้งดูรัมคือมีโปรตีนค่อนข้างสูงทำมาจากข้าวสาลีพันธุ์ฮาดสปริงและฮาดวินเตอร์วีท แป้งขนมปังส่วนมากมักทำของที่ต้องอบและทำให้ขึ้นฟูด้วยยีสต์(yeast)
แป้งเอนกประสงค์(all purpose flour)
คือแป้งที่ทำจากข้าวสาลีชนิกหนักและชนิดเบาปนกัน มีความหนาแน่นน้อยกว่า เบากว่าและขาวกว่าแป้งขนมปัง
แป้งเพสตรี(pastry flour)
ทำมาจากแป้งสาลีชนิดเบา มีโปรตีนค่อนข้างต่ำ เหมาะสำหรับทำขนมเพสตรี และขนมอบทุกชนิด
แป้งเค้ก(cake flour)
ทำมาจากแป้งสาลีชนิดเบา เป็นแป้งที่ละเอียดมาก เหมาะสำหรับทำขนมเค้กโดยเฉพาะ
แป้งมันสำปะหลัง(tapioca flour)
ทำมาจากหัวมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกกันมาช้านานในประเทศไทย แต่เพิ่งจะมีความสำคัญทางเศรษฐกิจในระยะ 10 ปีนี้เอง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจัดเป็นสินค้าออกอันดับ 4 ของประเทศ ซึ่งได้แก่ แป้งมันสำปะหลัง มันสำปะหลังหรือมันเส้น มันสำปะหลังแท่งหรืออัดเป็นเม็ด เฉพาะแป้งมันสำปะหลังประเทศไทยส่งเป็นสินค้าออกประมาณ 15% แป้งมันสำปะหลังนำไปใช้ประโยชน์เป็นอาหาร

สรรพคุณของใบเตย




ใบเตย หรือ เตยหอม หรือ ใบเตยหอม ภาษาอังกฤษ Pandan Leaves, Fragrant Pandan, Pandom wangi มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pandanus amaryllifolius Roxb. และยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆอีกเช่น ใบส้มม่า (ระนอง), ส้มตะเลงเครง (ตาก), ส้มปู (แม่ฮ่องสอน), ส้มพอดี ผักเก็งเค็ง (ภาคเหนือ) เป็นต้น ใบเตย จัดเป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ มีใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวจนถึงยอดใบ ลักษณะของเป็นทางยาว สีเขียวเป็นมัน ใบค่อนข้างแข็งมีขอบใบเรียบ ซึ่งเราสามารถนำใบเตยมาใช้ได้ทั้งใบสดและใบแห้ง ในใบเตยจะมีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย (Fragrant Screw Pine) โดยกลิ่นหอมของใบเตยนั้นมากจากสารเคมีที่ชื่อว่า 2-acetyl-1-pyrroline ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่ได้ใน ข้าวหอมมะลิ ขนมปังขาว และดอกชมนาด นอกจากนี้ใบเตยยังประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญอีกหลายชนิด โดยใบเตยหอม 100 กรัมนั้นจะมีเบต้าแคโรทีน 3 ไมโครกรัม, วิตามินซี 8 มิลลิกรัม, วิตามินบี2 0.2 มิลลิกรัม, วิตามินบี3 1.2 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 124 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.1 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม, โปรตีน 1.9 กรัม และให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี่ ! ใบเตยเป็นพืชที่คนไทยทุกคนต่างก็รู้จักกันดี เนื่องจากมีการนำมาใช้กันอย่างหลากหลายตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาปรุงแต่งอาหารอย่างขนมไทยให้มีกลิ่นหอม อร่อย และยังให้สีสันน่ารับประทานอีกด้วย ประโยชน์ของใบเตย ใบเตยหอม สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น และช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ (น้ำใบเตย) การดื่มน้ำใบเตยจะช่วยดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี เพราะใบเตยมีกลิ่นหอมเย็นทานแล้วจึงรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย รสหวานเย็นของใบเตย ช่วยชูกำลังได้ การดื่มน้ำใบเตยช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของร่างกายได้ ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟนั้นการรับประทานอาหารที่ปรุงจากใบเตยจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นสบายสดชื่นได้ ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งตามตำรับยาไทยได้มีการนำใบเตยหอม 32 ใบ, ใบของต้นสัก 9 ใบ นำมาหั่นตากแดด แล้วนำมาชงเป็นชาดื่มอย่างน้อย 1 เดือน หรือจะใช้รากประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำดื่มเช้าเย็นก็ได้เหมือนกัน (ใบ,ราก) ช่วยลดความดันโลหิต (สารสกัดน้ำจากใบเตย) ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ใบเตย สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการอาการและดับพิษไข้ได้ ใบเตยช่วยดับพิษร้อนภายในได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาโรคหืด (ใบ) สรรพคุณใบเตยใช้เป็นยาแก้กระษัย (ต้น,ราก) ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ด้วยการใช้ต้น 1 ต้นหรือจะใช้รากครึ่งกำมือก็ได้ นำมาต้มกับน้ำดื่ม (ราก,ต้น) สรรพคุณของใบเตยใช้รักษาโรคหัดได้ ใบเตยสดนำมาตำใช้พอกรักษาโรคผิวหนังได้ ประโยชน์ใบเตย มีการนำใบเตยมาใช้แต่งกลิ่นอาหารอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นของหวานต่างๆ อย่าง ขนมลอดช่อง ขนมชั้น รวมไปถึงเค้กและสลัด เป็นต้น มีการนำใบเตยมาทุบพอแตก นำไปใส่ก้นลังถึงสำหรับนึ่งขนม จะทำให้ขนมที่สุกแล้วมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมาก ใช้ใบเตยลองก้นหวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว เมื่อข้าวสุกแล้วจะทำให้มีกลิ่นหอมมาก สีเขียวของใบเตยเป็นสีของ คลอโรฟิลล์ สามารถนำมาใช้แต่งสีขนมได้ ใช้ใบเตยสดใส่ลงไปในน้ำมันที่ใช้แล้ว แล้วตั้งไฟให้ร้อนแล้วค่อยตักใบเตยขึ้น จะทำให้น้ำมันไม่มีกลิ่นเหม็นหืน ทำให้น้ำมันที่ใช้ทอดมีกลิ่นเหมือนน้ำมันใหม่ใบสามารถใช้ไล่แมลงสาบได้ ประโยชน์ของใบเตยกับการนำมาใช้ทำเป็นทรีทเม้นท์สูตรบำรุงผิวหน้า ด้วยการใช้ใบเตยล้างสะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียด จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที




สรรพคุณของน้ำตาล






ความลับของน้ำตาล
น้ำตาลที่ใส่ขนมและอาหารอื่น  เป็นอาหารสำคัญที่ให้พลังงาน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของผลึกสีขาว หรือสีน้ำตาลแดงก็ตาม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซูโครส ทางวิทยาศาสตร์มีน้ำตาลมากมาย เช่น กลูโคสและฟรักโทส มีในพืชและสัตว์และผลไม้ แล็กโทสมีในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พืชสีเขียวสร้างน้ำตาลได้ด้วยแสงแดด อากาศ และน้ำ ด้วยวิธีที่เรียกว่า การสังเคราะห์ด้วยแสง กลูโคสเป็นน้ำตาลที่สำคัญที่สุด มีอยู่ในเลือดของสัตว์ และในน้ำเลี้ยงของพืช
น้ำตาลทุกชนิดมีสารประกอบเคมีจำพวกคาร์โบไฮเดรต ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ถ้าเอากรดซัลฟิวริก หรือกรดกำมะถันชนิดเข็มข้น ใส่ลงในน้ำตาลทรายสีขาว กรดจะดูดน้ำออกไปจากน้ำตาลทรายเหลือแต่ถ่านสีดำ สารบางชนิดไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตแต่มีรสหวานจัด เช่น แซ็กคาริน และแอสพาร์แทม มีรสหวานราว 300 และ 200 เท่า ของน้ำตาลทรายตามลำดับ ใช้แทนน้ำตาลได้เฉพาะในเรื่องของความหวาน เรียกสารพวกนี้ว่า น้ำตาลเทียม
ทุกวันนี้แอสพาร์แทม เป็นที่นิยมมากกว่า แซ็กคาริน เพราะยังไม่พบว่ามีอันตรายต่อคน มีของดื่มหลายอย่างที่ใส่อแสพาร์แทม เช่น น้ำอัดลมบางชนิด น้ำผลไม้ผง ลูกกวาด
ข้อมูลจาก : รู้ไว้ใช่ว่า ประสาวิทยาศาสตร์ เล่ม 2
ประเภทของน้ำตาล
น้ำตาลคือ สารที่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารทั้งหวานและคาว นอกจากนี้ยังช่วยให้สีสันของอาหารน่ารับประทานอีกด้วย
1. น้ำตาลโตนด คือ น้ำตาลจากต้นตาล ที่เรียกว่าน้ำตาลเมืองเพชร โดยทำเป็นก้อนกลมสีน้ำตาลเข้ม มีรสหวานแหลมและเค็มเล็กน้อย เรียกว่า น้ำตาลปึก น้ำตาลประเภทนี้เหมาะที่จะใช้ใส่ส้มตำ ยำต่างๆ ทำน้ำกะทิลอดช่อง แกงบวด เป็นต้น
2. น้ำตาลมะพร้าว คือน้ำตาลจากมะพร้าว ใส่ปีบหรือทำเป็นปึก มีสีเหลืองอ่อน รสหวานเค็ม เหมาะที่จะทำอาหารประเภทเดียวกับน้ำตาลปีก และ การฉาบกล้วย เผือก ฯลฯ
3. น้ำตาลอ้อย ทำจากต้นอ้อย ทำเป็นเมล็ดและผงสีน้ำตาลเข้ม ใช้ทำกับข้าวบางชนิดที่ต้องการให้หอมน้ำอ้อย เช่นปลาต้มหวาน หมูชะมวง หน่อไม้เส้นต้มหมู หรืออาหารประเภทเชื่อม เช่นกล้วยเชื่อม จะทำให้สีแดงเข้มสวยและหอม
4. น้ำตาลทรายชนิดหยาบ มีทั้งที่ฟอกขาวและไม่ฟอกขาว ใช้ทำขนมประเภทน้ำเชื่อม เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง น้ำเชื่อมใส่น้ำผลไม้ต่างๆ หรือใส่เพิ่มรสในกับข้าวเล็กน้อย ใส่ชา กาแฟ
5. น้ำตาลทรายละเอียด จะละเอียดและขาวมาก ใช้ทำขนมอบต่าง เช่น เค้ก คุ้กกี้ ขนมปัง
6. น้ำตาลทรายแดง ทำมาจากน้ำตาลอ้อย ใช้ใส่ในเต้าฮวย น้ำขิง
7. น้ำตาลก้อน คือน้ำตาลทรายละเอียดที่อัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ เรียก น้ำตาลปอนด์ ใช้ใส่ ชา กาแฟ เพราะไม่มีผลทำให้รสชาติชากาแฟเปลี่ยนแปลง
8. น้ำตาลเทียม เกิดจากสารประกอบที่ให้ความหวานต่างๆ ให้ความหวาน แต่ไม่ให้พลังงาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก น้ำตาลชนิดนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารควบคุมจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
น้ำตาล : หวานอันตราย
บทนำ ความหวานจากน้ำตาล สาเหตุของการเกิดโรคที่คุณไม่รู้
ในยุควิกฤตเศรษฐกิจและยุคน้ำตาลขึ้นราคา คนไทยมีแนวโน้มการกินน้ำตาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นำมาซึ่งภาวะโภชนาการเกิน และโรคฟันผุอันเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศในขณะนี้
จากผลสำรวจภาวะอาหารและโภชนาการแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ.2538 ของกรมอนามัย พบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลถุงถึงปีละ 8.7 กิโลกรัมต่อคน เทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้วบริโภคเพียง 3.6 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งหากคิดเฉพาะบริโภคน้ำตาลโดยตรงแล้วในแต่ละปี คนไทยกินน้ำตาลคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,786 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่าคนในเขตเมืองบริโภคน้ำตาลมากกว่าคนในเขตชนบทสูงถึงประมาณหนึ่งเท่าตั
น้ำตาลเป็นอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ให้คาร์โบไฮเดรตชนิดที่โมเลกุลไม่ซับซ้อนจัดเป็นอาหารให้พลังงานชนิดว่างเปล่า คือ ให้พลังงานแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ น้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่ โดยทั่วไปน้ำตาลจะให้รสหวานที่คุ้นเคยกันดี ได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลอ้อย รสหวานหรือความหวานเป็นรสที่คนส่วนใหญ่มักจะชอบ และใช้เป็นสื่อสัมพันธ์ทางมิตรภาพที่ดีต่อกัน ซึ่งในวันหนึ่งๆ เรารับประทานอาหารเข้าไปหลากหลายประเภท ทั้ง แป้ง โปรตีน ไขมัน ซึ่งแล้วแต่เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงทั้งสิ้น เมื่อเราเพิ่มการบริโภคน้ำตาลเข้าไปอีก จะทั้งแบบตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่าบริโภคกันเกินพอดีสำหรับร่างกาย
ก่อนอื่นเราควรมาทำความรู้จักน้ำตาลที่พบในอาหารทั่วไป ซึ่งได้แก่
กลูโคส มีอยู่ในผลไม้ที่รสหวาน เช่น องุ่น ส้ม ข้าวโพดหวาน หัวผักกาดแดง น้ำตาล กลูโคสจะมีความหวานน้อยกว่าน้ำตาลอ้อย
ฟรุคโตส มีอยู่ในผลไม้ที่สุก น้ำผึ้งและพืชผักบางชนิด จะมีความหวานมากกว่าน้ำตาลอ้อย
ซูโครส มีอยู่ในน้ำตาลที่สกัดจากอ้อย หัวผักกาดหวาน (หัวผักกาดแดง) น้ำตาล สีรำ ส่าเหล้า น้ำตาลเมเปิ้ล
กาแลคโตส เป็นน้ำตาลที่ได้จาก การย่อยสลายน้ำตาลแลคโตสซึ่งมีในน้ำนมและผลิตภัณฑ์นม
แลคโตส เป็นน้ำตาลที่มีอยู่ในนมและผลิตภัณฑ์นม
แม้ว่าน้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่นักโภชนาการก็ไม่ส่งเสริมให้กินน้ำตาลเพื่อเป็นแหล่งของพลังงานเพราะถือว่าเป็นพลังงานที่ไม่ค่อยมีคุณค่า ไม่เหมือนกับการกินข้าว โดยเฉพาะข้าวซ้อมมือท่านจะได้พลังงานนอกเหนือจากพลังงานจะได้โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ด้วย การกินน้ำตาลมาก  จะมีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการ ไม่ว่าจะเกิดโรคอ้วนและโรคฟันผุ
น้ำตาลเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง รวมไปถึงโรคเบาหวานด้วย มีรายงานวิจัยระบุว่า คนที่บริโภคน้ำตาลมากเกินไปในช่วง 40 ปีแรกของชีวิต มีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน มากกว่าคนอื่น  เพราะน้ำตาลไปทำให้ตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินเสื่อสมรรถภาพ เมื่อกินน้ำตาลเข้าไปมากๆ จะทำให้มีน้ำตาลในกระแสเลือดสูง
อินซูลินเป็นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อทำหน้าลดปริมาณน้ำตาลในเลือดโดยจะลำเลียงน้ำตาลไปยังเซลล์ต่าง  ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญให้เป็นพลังงานหรือไปเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมัน หากตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อย ปริมาณน้ำตาลในเลือดก็จะมีสูงจนเกินกว่าที่ไต ซึ่งทำหน้าที่กรองน้ำตาลเก็บไว้ใช้ จะสามารถกรองได้ต้องปล่อยออกมากับปัสสาวะภาวะนี้คืออาการของโรคเบาหวาน
เมื่อร่างกายผลิตอินซูลินออกมามากๆ อินซูลินก็จะทำหน้าที่ของมันอย่างรวดเร็ว เพื่อขจัดน้ำตาลในกระแสเลือดทำให้น้ำตาลในกระแสเลืดจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็วร่างกายจะเกิดอาการอ่อนเพลียปวดหัว ปวดเข่า ปวดข้อ เป็นลมสิ้นสติ จนถึงมีอาการสั่นกระตุกทั้งตัว ภาวะอารมณ์ของคนที่มีน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำก็จะเกิดอาการอารมณืแปรปรวน ขี้ลืม นอนไม่หลับ ฝันร้าย ตื่นตกใจง่าย โรคอ้วนกับความแปรปรวนของอินซูลินเกี่ยวพันกันจนแทบจะแยกไม่ออก เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาไขมันสูงในเลือดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคเก๊าต์ โรคหัวใจและมะเร็ง
คนที่ชอบกินอาหารหวานบ่อย  สมดุลของแร่ธาตุชนิดต่างๆ จะรวนจนหาสมดุลไม่ได้ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ติดเชื้อได้ง่าย มีรายงานกล่าวว่าการกินหวานมากทำให้เลือดมี ธาตุแคลเซียมสูงขึ้น ฟอสฟอรัสลดลง ซึ่งอาจไปตกตะกอนสร้างปัญหานิ่วในไต นอกจากนี้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อย  ยังเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดทั้งโรคหัวใจและมะเร็ง
กินน้ำตาลทรายมากทำให้กรดอะมิโนที่ชื่อ “ทริปโตฟาน” ถูกเร่งให้ผ่านเข้าสู่สมองมากเกินไป สมดุลของฮอร์โมนในสมองเปลี่ยนแปลง ผลที่ตามมาคือเกิดอาการเหนื่อย เซ็งซึมเซา ไม่กระฉับกระเฉง
เมื่อการบริโภคน้ำตาล ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่น้ำตาลกลายเป็นส่วนหนึ่งของการบริโภคในชีวิตประจำวันและการเลิกกินน้ำตาลก็ยากกว่าการเลิกกินเนื้อ ดังนั้นการค่อยๆ เปลี่ยนไปกินอาหารอื่นที่เป็นธรรมชาติและเป็นประโยชน์มากกว่าการกินน้ำตาล จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาทั้งนี้ก็เพื่อให้ร่างกายได้มีการปรับตัวก่อนนั่นเอง รองใช้วีธีการต่อไปนี้ดูว่า สามารถช่วยท่านได้มากน้อยเพียงใดเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการกินน้ำตาล
1. พยามลดปริมาณน้ำตาลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทรายขาว หรือสีรำ น้ำผึ้ง และน้ำเชื่อม
2. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมาก เช่น ลูกอม น้ำอัดลม ขนมเค็ก คุ้กกี้ ขนมหวานทุกชนิด
3. เลือกรับประทานผลไม้สด หรือผลไม้กระป๋อง ที่มีรสหวานน้อย สร้างนิสัยการกินผลไม้แทนขนมหวานหลังมื้ออาหาร
4. อย่าให้ขนมหวานเป็นรางวัลแก่เด็ก
5. เวลาจะรับประทานอาหารสำเร็จรูป ควรอ่านฉลาดอาหารเพื่อจะได้ทราบว่า อาหารที่รับประทานนั้นมีน้ำตาลมากน้อยเพียงใด เช่น น้ำตาลทราย น้ำตาลมอลโตส น้ำตาลเล็กโตรส น้ำตาลฟรุคโตส หรือมีน้ำเชื่อมหรือไม่
6. อย่าลืมว่า ความถี่ในการรับประทานน้ำตาลมีความสำคัญมาก อาจจะรับประทานครั้งละนิดเดียว แต่รับประทานบ่อยครั้งก็จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเกินความต้องการ
หากจำเป็นจะต้องกินน้ำตาล ควรหันมาบริโภคน้ำตาลทรายแดงกันบ้าง เพราะน้ำตาลทรายแดงไม่ได้ผ่านขบวนการฟอกสีปนเปื้อน และที่สำคัญ น้ำตาลทรายแดงยังมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าน้ำตาลทรายขาว เช่น ในน้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม มีแคลเซี่ยม 450 มิลลิกรัม ซึ่งมากเป็น 3 เท่า ของน้ำตาลทรายขาว มีธาตุเหล็ก 20 มิลลิกรัม มากเป็น 2 เท่า ของน้ำตาลทรายขาว อย่างไรก็ตามน้ำตาลทุกชนิดได้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ถ้าหากกินน้ำตาลไม่ว่าจะเป็นชนิดใดมากจนเกินไป ก็จะเป็นโทษต่อสุขภาพด้วยกันทั้งสิ้น มาร่วมกันรณรงค์ให้ลดการบริโภคน้ำตาลทรายเถอะ เพื่อประเทศของเราจะได้มีประชากรที่แข็งแรงกระฉับกระเฉงสมองปราดเปรื่องต่อไป



สรรพคุณของมะพร้าว


 
       มะพร้าว พืชพรรณที่พบเห็นได้ทั่วไป ตามพื้นที่ชายทะเลทุกแห่งในประเทศไทย รวมทั้งได้ถูกกำหนดให้เป็นสัญลักษณะประจำมหาวิทยาลัยบูรพา
       มะพร้าวเป็นพืชที่มีความผูกพันกับ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทยมาช้านาน คุณสมบัติที่ดีของมะพร้าว คือส่วนต่างๆ ของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ หลากหลาย ตั้งแต่ ลำต้น ใบ ก้าน ผล กะลา รกมะพร้าว กาบมะพร้าว รากมะพร้าว
       มะพร้าวเป็นพืชที่นิยมบริโภคในประเทศไทย เป็นอย่างมาก นิยมนำมาทำอาหาร ทั้งคาวหวาน นอกจากนั้น ยังสามารถนำมาทำอุตสาหกรรมน้ำมันมะพร้าว อุตสาหกรรมกะทิเข้มข้น มะพร้าวขูดแห้ง น้ำตาลมะพร้าว และอุตสาหกรรมอื่นๆ เกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของมะพร้าว เช่น เส้นใย ฯลฯ
       ปัจจุบันคนไทยนิยมทานยอดมะพร้าวเป็นอาหารมากขึ้น เนื่องจากยอดมะพร้าวนำมาทำเป็นอาหารมากขึ้น เนื่องจากยอดมะพร้าวนำมาทำเป็นอาหาร ยำ ผัด แกง ฯลฯ โดยเฉพาะต้มยำกุ้งยอดมะพร้าว เป็นเมนูยอดนิยม ซึ่งยอดมะพร้าวเป็นอาหารชนิดหนึ่ง ที่ปลอดสารพิษ และเพิ่มเส้นใยอาหารได้ดี
       สถาบันศิลปะและวัฒนธรรมฯ เห็นคุณค่าของมะพร้าวที่มีต่อวิถีชีวิตมนุษย์มายืนยาว จึงนำเสนอมะพร้าว รวมทั้งรวบรวมงานฝีมือต่างๆ ที่ใช้มะพร้าวเป็นองค์ประกอบ
       ประโยชน์ทางยา
       ส่วนที่ใช้เป็นยา คือเปลือกต้น เนื้อ น้ำมะพร้าว น้ำมัน กะลา ดอก ราก กาบ
       สรรพคุณในตำรายาไทย
       เปลือกต้นสด แก้เจ็บปวดฟัน และใช้ทาแก้หิด
       เนื้อมะพร้าว รับประทานเป็นยาบำรุงกำลัง ขับปัสสาวะ ขับพยาธิ แก้ไข้ กระหายน้ำ
       น้ำมะพร้าว รสหวานเค็ม รับประทานเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้กระหายน้ำ แก้นิ่ว แก้อาเจียนเป็นโลหิตและบวมน้ำ นอกจากนี้ยังทำเป็นน้ำส้มสายชูใช้ประโยชน์อื่น ๆ อีกมาก
       น้ำมันมะพร้าว รสหวานเค็ม รับประทานเป็นยาบำรุงกำลัง หรือทาเป็นยาแก้กลากเกลื้อน บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนังต่างๆ ทาแผลน้ำร้อนลวก ทาผิวหนังแตกแห้ง และใช้ทาผม
       กะลา เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ปวดกระดูกและเอ็น
       ดอก รสฝาดหวานหอม เป็นยาแก้เจ็บปากเจ็บคอ แก้ท้องเสีย แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ กล่อมเสมหะ บำรุงโลหิต แก้ปากเปื่อย
       ราก รสฝาดหวานหอม เป็นยาแก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ หรืออมบ้วนปากแก้เจ็บคอ
       ขนาดและวิธีใช้
       แก้ปวดฟัน ใช้เปลือกต้นสด เผาไหม้ให้เป็นเถ้า นำมาสีฟัน
       แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ใช้กะลามะพร้าวสะอาดเผาไฟจนแดงเอาคีมคีบเก็บไว้ในปีบสะอาด และปิดฝาจะได้ถ่านกะลาสีดำ เอามาบดเป็นผงรับประทาฯ ใช้คราวละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
       รักษาแผลเป็น เอามะพร้าวก้นกะลาขูดออกมาแล้วบีบเอาน้ำมันได้เท่าไร เอาไปเคี่ยวจนสุกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น เอายอกมะลิ กลั้นใจเด็ด 7 ยอด โขลกให้ละเอียด ผสมน้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวแล้ว ทาทุกวันแผลเป็นจะหาย
       งานฝีมือจากมะพร้าว
 มะพร้าวเป็นพืชที่มีความผูกพันกับ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทยมาช้านาน คุณสมบัติที่ดีของมะพร้าว คือ ส่วนต่างๆ ของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ หลากหลาย ตั้งแต่ ลำต้น ใบ ก้าน ผล กะลา รากมะพร้าว กาบมะพร้าว รากมะพร้าวประเภทของรูปแบบผลิตภัณฑ์มะพร้าว เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานหัตถกรรม มีมากมายหลายชนิด ขึ้นอยู่กับวัสดุที่มาจากส่วนต่างๆ ของมะพร้าว เช่น
       ก้านมะพร้าว หรือแกนใบ นำมาผลิตงานหัตถกรรมได้หลายอย่าง เช่น ไม้กวาด เสวียนหม้อ หรือก้นหม้อ ที่รองจาน เครื่องประดับข้างฝา โป๊ะไฟฟ้า พัด ที่หุ้มภาชนะปักดอกไม้ กระเป๋าถือสตรี กระจาดใส่ผลไม้ เป็นต้น
       กาบมะพร้าวหรือเปลือกมะพร้าว มีคุณสมบัติแข็งแรง คงทนต่อน้ำและน้ำทะเล มีความยืดหยุ่น และสปริงดี นำมาทำเชือก ทำพรม กระสอบ แปรงชนิดต่างๆ อวน ไม้กวาด เส้นใบสั้นใช้อัดไส้ของที่นอน เบาะรถยนต์ เป็นต้น
       ใบมะพร้าว ใช้สานเป็นภาชนะใส่ของชั่วคราว ห่อขนม สานหมวกกันแดด สานเป็นเครื่องเล่นเด็ก และผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกรูปสัตว์ต่างๆ ของที่ระลึกประดับตกแต่ง
       รากมะพร้าว เป็นเส้นยาว เหนียวมาก ใช้สานเป็นผลิตภัณฑ์ใช้สอย จำพวกตะกร้า ถาด ภาชนะสำหรับดอกไม้หรือใส่ของต่างๆ ประดิษฐ์เป็นหัตถกรรมของที่ระลึก
       รกมะพร้าว หรือเยื่อหุ้มคอมะพร้าว ลักษณะเป็นแผ่นใยหยาบบางๆ ยืดหยุ่นได้ แต่แยกขาดง่าย ใช้ผลิตหัตถกรรมประเภท กระเป๋า หมวก รองเท้าแตะ กล่องใส่ของ ดอกไม้ประดิษฐ์ เป็นต้น
       กะลามะพร้าว มะพร้าวแก่จะมีความคงทนมาก ไม่หดตัวแม้ถูกน้ำ ถูกแดด แต่จะเปราะง่าย หักง่าย หากกระทบกับสิ่งที่แข็งๆ ใช้ทำผลิตภัณฑ์ ภาชนะ เครื่องประดับ เครื่องดนตรี ที่วางแก้วน้ำ กระบวยตักน้ำ ที่เขี่ยบุหรี่ เป็นต้น





สรรพคุณของเกลือ




หลากหลายประโยชน์ที่ได้จากการใช้เกลือ
          คุณรู้หรือไม่ว่าเกลือที่เราใช้ในการปรุงอาหารกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้มีประโยชน์แค่เพียงช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เกลือยังอุดมไปด้วยสรรพคุณมากมายมหาศาล มาลองดูกันว่า เกลือธรรมดา ๆ นี้จะสามารถทำประโยชน์อะไรได้บ้าง
ใช้ในห้องครัว
 ทดสอบความสดของไข่ไก่
          เคยหรือไม่ที่ซื้อไข่ไก่มา แต่ไม่แน่ใจว่าไข่ที่ซื้อมานั้นสด สะอาดหรือไม่ ใส่เกลือ 2 ช้อนชาในน้ำสะอาดและแช่ไข่ทิ้งไว้ ถ้าไข่ได้สดจริงจะจมน้ำ แต่หากไข่นั้นไม่สดก็จะลอยน้ำ แต่การที่ไข่ลอยน้ำนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นไข่เน่า เป็นเพียงแค่ไข่ที่สุกมากขึ้นเท่านั้นเอง
 ทำให้อาหารสุกเร็วขึ้น
          เพราะเกลือช่วยให้อุณหภูมิของน้ำเดือดเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น ถ้าคุณจะลวกไข่สักฟอง ให้ใส่เกลือลงไปด้วย จะทำให้ไข่สุกเร็วขึ้น และทำให้อาหารอื่น ๆ สุกเร็วขึ้นเช่นกัน
 ล้างผลไม้
          โดยมากแล้วเรามักจะใช้น้ำมะนาว หรือน้ำส้มสายชู ในการล้างผลไม้ให้สดอยู่เสมอ แต่หากไม่มีทั้งสองอย่างนั้น ก็สามารถใช้น้ำที่ผสมเกลือล้างผลไม้แทนได้นะ
 แกะเปลือกถั่วได้ง่ายขึ้น
          แช่ถั่วไว้ในน้ำที่ผสมเกลือไว้หลาย ๆ ชั่วโมงก่อนรับประทาน จะช่วยให้แกะเปลือกถั่วได้ง่ายขึ้นเยอะเลย
 กันไม่ให้น้ำตาลติดกันเป็นก้อน

          เหยาะเกลือเพียงเล็กน้อยบนน้ำตาลไอซิ่ง จะทำให้น้ำตาลไอซิ่งไม่จับตัวกันเป็นก้อน
 ขจัดกลิ่นที่ติดมือ
          หากล้างมือด้วยสบู่ หรือน้ำสะอาดแล้วยังมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ติดมืออยู่ล่ะก็ ให้ใช้เกลือผสมกับน้ำส้มสายชูล้างมือแทน จะทำให้กลิ่นหายไปได้
 ยืดอายุชีส
          หากมีชีสเหลืออยู่จากการทำอาหาร วิธีที่ทำให้วันหมดอายุของชีสยืดออกไปอีก ก็คือการนำชีสมาแช่ด้วยน้ำเกลือ ก่อนที่จะนำไปแช่เก็บไว้ในตู้เย็นต่อไป
 ลดคราบสกปรกบริเวณก้นหม้อได้
          หลังการทำอาหาร บริเวณก้นหม้อมักจะเกิดคราบสกปรกอยู่เสมอ ดังนั้น จึงควรใส่เกลือหนึ่งกำมือ จะทำให้ลดคราบสิ่งสกปรกออกไปได้ และยังทำให้กลิ่นไม่พึงประสงค์จางหายไปด้วยเช่นกัน
ใช้เกี่ยวกับร่างกาย
 ใช้กับแปรงสีฟันก็มีประโยชน์
          แช่แปรงสีฟันในน้ำผสมเกลือ ก่อนที่จะใช้งานครั้งแรกจะทำให้ขนแปรงมีความนิ่มและคงทนมากยิ่งขึ้น
 ช่วยทำความสะอาดฟัน
          ยาสีฟันหลากหลายยี่ห้อต่างก็มีสูตรที่ผสมเกลือด้วยกันทั้งนั้น เพราะในเกลือมีสารที่ช่วยให้ฟันขาว สะอาด และแข็งแรงมากขึ้น
 ทำความสะอาดช่องปากก็ได้ผล
          ผสมเกลือกับน้ำโซดา แล้วใช้บ้วนปากจะช่วยขจัดกลิ่นปากได้ นอกจากนั้นแล้วยังช่วยลดปัญหาการเกิดโรคและอาการในช่องปาก เช่น ฟันกร่อน เสียวฟัน ได้ดีอีกด้วย
 บรรเทาความปวดอันเนื่องมาจากการถูกผึ้งต่อย
          ถ้าโดนผึ้งต่อยให้นำเกลือในปริมาณเล็กน้อยมาทาในบริเวณที่ถูกต่อย จะช่วยบรรเทาความปวดได้
 ป้องกันพิษจากยุงและไม้เลื้อยที่ทำให้คัน

          แช่น้ำเกลือ และพอกด้วยเกลือผสมน้ำมันมะกอกในบริเวณที่ถูกยุงกัด หรือไปสัมผัสกับไม้เลื้อย จะช่วยให้ลดอาการคันเป็นอย่างดี
  ขัดผิวก็เข้าท่า
          เกลือช่วยขจัดผิวให้มีความกระจ่างใสได้ ดังนั้นหลังจากที่อาบน้ำแล้ว นำเกลือมาขัดผิวและนวดคลึงเบา ๆ จะทำให้ผิวดูกระจ่างขึ้นมาทันที
 บรรเทาอาการเจ็บคอได้ด้วย
          ผสมเกลือกับน้ำอุ่น แล้วกลั้วคอ จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้ดี
ใช้ในบริเวณบ้าน
 ขวางทางเดินของมด
          เพื่อไม่ให้มดเดินเข้าไปทำรังในบ้านของคุณ โรยเกลือไว้ตามบริเวณประตู หน้าต่างหรือในที่ต่าง ๆ ที่มดสามารถเดินผ่านได้ แค่นี้มดก็จะลดน้อยลงนะ
 ป้องกันการเกิดเพลิงไหม้
          ให้เก็บกล่องที่ใส่เกลือไว้ใกล้ ๆ กับอุปกรณ์เครื่องครัวและตู้อบต่าง ๆ เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เกลือสามารถที่จะดับไฟได้
 ลดการละลายของเทียน
          ถ้าหากคุณนำเทียนแท่งใหม่ ๆ ที่ยังไม่ได้ใช้มาแช่ในน้ำที่ผสมเกลือ จากนั้นเมื่อเทียนแห้ง เทียนจะละลายได้น้อยลงเมื่อคุณจุดเทียนใช้ ถ้าไม่เชื่อลองดูได้เลย
 รักษาความสดของดอกไม้
          เพื่อรักษาความสดของดอกไม้ให้ใส่เกลือลงไปในแจกัน วิธีนี้จะทำให้ดอกไม้มีความสดที่ยาวนานขึ้น
 ซ่อมกำแพง
          กำแพงมีรอย หรือมีรู เกลือก็เป็นตัวช่วยที่ดีของคุณ ผสมเกลือ 2 ช้อนโต๊ะเข้ากับแป้งข้าวโพดอีก 2 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ คนให้เข้ากัน เท่านี้ก็สามารถนำไปปิดรูหรือลบรอยบนกำแพงได้เลย
 กำจัดวัชพืชที่ไม่พึงประสงค์

          กำจัดวัชพืชที่ขึ้นรกรุงรังตามลานบ้าน ทางเดิน ด้วยการโรยเกลือให้ทั่ว แล้วรดน้ำตามให้ทั่วหรือจะรอให้ฝนตกก็ได้ เพราะเกลือจะยับยั้งไม่ให้วัชพืชเจริญเติบโต 
 ลดควันที่เกิดจากการย่างบาร์บีคิว
          ถ้าการปาร์ตี้บาร์บีคิวสร้างควันมากมาย มาทำลายบรรยากาศให้เสียลงแล้วละก็ ใส่เกลือลงไปในกองไฟที่ใช้ย่างบาร์บีคิว จะช่วยให้ควันที่ออกมาลดน้อยลงไป
ใช้เพื่อการทำความสะอาด
 ทำความสะอาดอ่างล้างจาน
          เทเกลือผสมกับน้ำร้อนแล้วทำความสะอาดอ่างล้างจาน จะทำให้อ่างมีความสะอาด ไม่มีคราบของความสกปรก และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
 ทำความสะอาดแหวน
          หากแหวนที่คุณสวมไม่เงาเหมือนแต่ก่อน ให้ใช้เกลือผสมกับน้ำมันพืชเช็ดแหวน เท่านี้แหวนของคุณก็จะกลับมาเงางามเช่นเดิม
 ทำความสะอาดได้ทั้งกระทะและถ้วยต่าง ๆ ได้
          หลังจากการประกอบอาหาร คราบสิ่งสกปรกต่าง ๆ มักจะติดตามอุปกรณ์เครื่องครัวอยู่เสมอ รวมไปถึงตามจานชามและถ้วยต่าง ๆ มากมาย ให้ใช้เกลือผสมน้ำยาล้างจานเช็ดล้าง ทำความสะอาด ก็จะทำให้คราบต่าง ๆ ออกง่ายขึ้น และล้างทำความสะอาดได้ดียิ่งขึ้น
 คราบในตู้เย็นก็จัดการได้
          ผสมเกลือกับน้ำโซดาเข้าด้วยกัน ก็จะทำให้เช็ดล้าง ขจัดคราบที่อยู่ในตู้เย็นที่ไม่ได้ทำความสะอาดมานานออกได้ ซึ่งเป็นการป้องกันอาหารในตู้เย็นของคุณให้ห่างไกลจากเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี
 ทำความสะอาดทองเหลืองหรือทองแดง รวมไปถึงคราบสนิมก็ได้เช่นกัน
          ขนาดคราบของสิ่งสกปรกตามกระทะ หม้อ และภาชนะอื่น ๆ ยังสามารถทำความสะอาด เครื่องครัวที่เป็นทองเหลือง ทองแดง หรือเป็นสนิมก็สามารถใช้เกลือทำความสะอาดได้เช่นกัน
 จัดการหม้อกาแฟให้สะอาดเอี่ยมก็เป็นเรื่องง่าย

          ใส่เกลือและน้ำแข็งก้อนลงไปในหม้อกาแฟ จะช่วยให้ขัดคราบที่ติดอยู่ออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ใช้ซักรีดเสื้อผ้า
 ขจัดคราบน้ำที่หกเลอะเสื้อ
          โรยเกลือบริเวณคราบที่เลอะทิ้งไว้ก่อนที่จะนำไปซัก โดยเกลือจะทำหน้าที่ซึมซับคราบสกปรกเหล่านั้นออกไป จะทำให้ซักคราบส่วนนั้นออกได้ง่ายยิ่งขึ้น
 ช่วยเพิ่มให้สีเสื้อของผ้าสว่างมากยิ่งขึ้น
          เกลือจะช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรกที่ฝังอยู่ในเนื้อผ้า และจะทำให้สีเสื้อของผ้าสว่างมากยิ่งขึ้น
 จัดการกับคราบเหงื่อไคลที่ติดอยู่ได้อย่างชะงัด
          ใส่เกลือ 4 ช้อนโต๊ะกับน้ำร้อนอีก 1 ส่วน และใช้ฟองน้ำเช็ดทำความสะอาด คราบเหงื่อไคลที่ติดอยู่ก็จะหลุดออกไปได้ง่ายมากขึ้น
 ผ้าที่มีคราบเลือด
          จัดการกับคราบเลือดด้วยการแช่ในน้ำเย็นที่ผสมเกลือไว้แล้ว จากนั้นนำไปซักด้วยน้ำสบู่อุ่น ๆ และล้างด้วยน้ำเดือดอีกหลังจากซัก แต่วิธีนี้ควรใช้เฉพาะกับเนื้อผ้าที่เป็นคอตตอน ลินิน หรือเนื้อผ้าที่มีเส้นใยธรรมชาติเท่านั้น ถึงจะทนความร้อนที่สูงได้
 กำจัดเชื้อราก็ไม่ใช่ปัญหา
          วิธีแก้ปัญหานี้ทำได้ไม่ยาก ด้วยการผสมน้ำมะนาวกับเกลือเข้าด้วยกันจากนั้นเทลงไปบริเวณที่เป็นเชื้อรา จากนั้นนำไปตากแดด ซักทำความสะอาด และแห้งตามปกติ
 ช่วยทำความสะอาดรอยเตารีด
          หากคุณเผลอลืมวางเตารีดค้างบนเสื้อไว้นานเกินไป จนทำให้เสื้อเกิดรอยเตารีด ก็ไม่ต้องตกใจไป วิธีแก้ง่าย ๆ ก็คือโรยเกลือลงบนแผ่นกระดาษและใช้เตารีด รีดทับรอยนั้นไปอีกที
          ได้รู้ถึงประโยชน์ที่มากมายของเกลือธรรมดา ๆ นี้แล้ว บอกได้เลยว่าเป็นความรู้ดี ๆ ที่ควรจะรู้ไว้เป็นอย่างยิ่ง ของเขา "เค็มแต่ดี" จริง ๆ